ทุกวันนี้ไม่ว่าไปที่ไหนก็มักจะเห็นเด็ก ๆ เล่นเกมอยู่บนหน้าจอมือถือหรือแท็บเล็ตอย่างไม่ละสายตา บางคนเล่นต่อเนื่องนานหลายชั่วโมงโดยไม่ยอมลุกไปไหน ไม่ยอมทำกิจกรรมอื่น ไม่อยากเข้าสังคม หรือแม้แต่ปฏิเสธที่จะออกจากบ้าน หากคุณเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูที่พบพฤติกรรมแบบนี้ในเด็กใกล้ตัว นี่คือบทความที่คุณควรอ่าน เพราะเราจะพาไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุของอาการเด็กติดเกมและแนวทางจัดการอย่างสร้างสรรค์
พฤติกรรมแบบไหนที่เข้าข่ายว่าเด็กติดเกม
- ใช้เวลาเล่นเกมมากเกินไปจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
- เล่นเกมแล้วแสดงอาการหงุดหงิดหากถูกขัดจังหวะหรือให้หยุด
- ไม่ยอมเข้าสังคมหรือเลี่ยงกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น
- ขาดความสนใจในสิ่งที่เคยชอบหรือกิจกรรมที่เคยร่วมทำกับครอบครัว
- มีผลการเรียนตกต่ำเพราะใช้เวลาไปกับเกมมากเกินไป
สาเหตุที่ทำให้เด็กติดเกม
การเลี้ยงดูที่ขาดสมดุล
พ่อแม่บางคนอาจใช้เกมเป็นเครื่องมือในการทำให้ลูกอยู่เฉย ๆ หรือเงียบโดยไม่ได้วางกรอบเวลา ทำให้เด็กเรียนรู้ว่าการเล่นเกมคือสิ่งที่ตอบโจทย์ความสบายใจโดยไม่จำเป็นต้องมีขีดจำกัด
เกมถูกออกแบบมาให้ติด
เกมในปัจจุบันมีระบบที่ดึงดูดให้ผู้เล่นอยู่กับเกมได้นาน เช่น การปลดล็อกรางวัล การแข่งขันแบบเรียลไทม์ การสะสมไอเท็ม และระบบเลเวลที่ให้ความรู้สึกของความสำเร็จเร็ว
ความเครียดและการขาดพื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์
เด็กบางคนอาจใช้เกมเป็นที่หลบหนีจากความเครียด ปัญหาครอบครัว หรือความกดดันจากโรงเรียน เพราะในเกมพวกเขารู้สึกว่าควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้และได้รับการยอมรับ
ขาดกิจกรรมทางเลือกที่ดึงดูดใจ
ในสังคมที่เด็กขาดพื้นที่สีเขียวหรือกิจกรรมสร้างสรรค์ การเล่นเกมจึงเป็นตัวเลือกที่ง่ายและเข้าถึงได้ตลอดเวลา
ผลกระทบระยะยาวที่อาจเกิดขึ้น
- ปัญหาการเข้าสังคม เด็กที่ติดเกมมากเกินไปอาจขาดทักษะในการสื่อสารและปรับตัวกับคนรอบข้าง
- พฤติกรรมก้าวร้าวหรืออารมณ์แปรปรวน โดยเฉพาะเมื่อไม่ได้เล่นเกมตามต้องการ
- ปัญหาด้านสายตา สุขภาพร่างกาย และการนอนหลับที่ถูกรบกวนจากหน้าจอ
- เสพติดพฤติกรรมที่ให้รางวัลทันใจ ทำให้ขาดความอดทนหรือไม่พร้อมรับมือกับโลกแห่งความจริง
แนวทางรับมือเด็กที่มีอาการติดเกม
ไม่ห้ามแบบหักดิบแต่ให้คุยกันด้วยความเข้าใจ
การสื่อสารสำคัญมาก เปิดใจพูดคุยกับเด็กว่าเพราะอะไรเขาถึงอยากเล่นเกมมากขนาดนั้น และพยายามเข้าใจสิ่งที่เขาเผชิญอยู่
สร้างตารางเวลาและขอบเขตที่ชัดเจน
ควรกำหนดเวลาเล่นเกมที่เหมาะสม เช่น วันละไม่เกิน 1 ชั่วโมงหลังทำการบ้านหรือภารกิจเรียบร้อย พร้อมทั้งให้มีเวลาสำหรับกิจกรรมอื่น ๆ ด้วย
สร้างกิจกรรมทางเลือกที่สนุกและสร้างสรรค์
หากเด็กมีทางเลือกที่น่าสนใจกว่าการเล่นเกม เช่น เล่นกีฬา ทำอาหาร วาดรูป หรือทำโปรเจ็กต์ร่วมกับครอบครัว จะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากเกมได้
เป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องการใช้สื่อ
ผู้ใหญ่ควรแสดงให้เห็นว่าการใช้เวลาอยู่หน้าจออย่างเหมาะสมเป็นอย่างไร เพื่อให้เด็กซึมซับพฤติกรรมที่ดีโดยไม่ต้องสั่งสอนมากเกินไป
ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น
หากปัญหาเริ่มกระทบกับชีวิตประจำวันของเด็กและครอบครัว ควรพิจารณาปรึกษานักจิตวิทยาเด็กหรือผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรม
สรุป
อาการเด็กติดเกมไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขไม่ได้หากเข้าใจต้นตอของปัญหาอย่างถ่องแท้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการรับฟังและร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยไม่ใช้ความรุนแรงหรือวิธีที่ทำให้เด็กต่อต้าน การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมีเวลาให้กันมากพอ จะช่วยลดโอกาสที่เด็กจะหลีกหนีเข้าไปอยู่ในโลกของเกมเพียงอย่างเดียว